ตามที่มีกลุ่มบุคคล พยายามแอบอ้าง เหมารวมว่าทาง ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) มีความเห็นร่วมว่า "การครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า ไม่เป็นความผิด" ไม่เป็นความจริง !!! เพราะถ้าพิจารณา จากหลักกฎหมายที่บังคับใช้กับบุหรี่ไฟฟ้าอยู่ตอนนี้ คือ
- ห้ามนำเข้า ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ พ.ศ.2557 โดยหน่วยงานที่สนับสนุนการบังคับใช้ คือ กรมศุลกากรในการตรวจจับ
- ห้ามขาย ห้ามให้บริการ ตาม คำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2558
- สูบในสถานที่สาธารณะ มีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ.2560
ที่สำคัญก็มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1411/2564
ยืนยันว่า ผู้ครอบครองอ้างว่าไม่รู้ ว่าไม่ผิดกฎหมายไม่ได้ แม้คดีนี้จะเป็นเรื่องการครอบครองเตาบารากู่ แต่กฎที่ใช้ก็ใช้บังคับกับบุหรี่ไฟฟ้าเช่นเดียวกัน
ดังนั้น ถ้าคิดข้อเท็จจริง การที่บุคคลคนหนึ่ง "ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า" ก็ย่อมต้องเกิดคำถามขึ้นอยู่แล้วว่า คุณได้บุหรี่ไฟฟ้ามาอย่างไร เพราะโดยต้นทาง ของระบบกฎหมายเพื่อควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าของไทยเราดักตั้งแต่ต้นทาง คือ "ห้ามนำเข้า" และกำจัดบุหรี่ไฟฟ้าที่มีในประเทศด้วยการ "ห้ามขาย/ห้ามบริการ" จึงอาจกล่าวได้ว่า การครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าก็ย่อมมี "ความเสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดี"
การตีความกฎหมายเพื่อการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าของประเทศไทยเราชัดเจน เจตนารมณ์เราไม่ต้องการสินค้าที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพและผลกระทบต่อสังคม โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน มาอยู่ในประเทศเรา สิ่งสำคัญที่สุดของประเทศไทย ตอนนี้ไม่ใช่การมาถกเถียงเรื่อง ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมายหรือไม่ แต่ควรสนับสนุนภาครัฐในการบังคับใช้กฎหมายให้เกิดประสิทธิผลมากกว่า กับ กฎหมายเดิมที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนี้ ฝ่ายที่กล่าวอ้างว่า ขนาดมีกฎหมายห้ามเด็ดขาดยังขายกันเกลื่อน และการที่มีกฎหมายมาควบคุม ซึ่งไม่ได้ห้ามเด็ดขาด จะรับประกันได้อย่างไรว่า จะไม่เกิดปัญหาการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า ในประเทศมากกว่าที่เป็นอยู่
ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า นอกจากเสี่ยงต่อผลกระทบต่อสุขภาพ ยังเสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดี ทาง ศจย.จึงขอเสนอต่อทุกท่านว่า "อย่าไปยุ่งกับผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าพวกนี้เลย"
สุดท้าย ข้อเสนอแนะ ศจย.ต่อกรณีนี้ คือ การสนับสนุนให้ประเทศไทยเข้าร่วมพิธีสารว่าด้วยการขจัดการค้าผลิตภัณฑ์ยาสูบผิดกฎหมาย ภายใต้องค์การอนามัยโลกเพื่อแก้ปัญหาการลักลอบผลิตภัณฑ์ยาสูบผิดกฎหมาย จะดีที่สุดสำหรับประเทศไทย ตอนนี้